ผลของการเลือกวัสดุสำหรับเครื่องมือจัดฟันใสที่มีต่อประสิทธิภาพการรักษา — PETG เทียบกับ 3 Layer
- Masamine Fujitani
- 8 ก.ย.
- ยาว 1 นาที

บทนำ
ความสำเร็จของการรักษาด้วยเครื่องมือจัดฟันใส (Aligner) ไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงแค่การออกแบบหรือการติดตั้ง Attachment เท่านั้น แต่ยังรวมถึง การเลือกวัสดุแผ่น (Sheet Material) ซึ่งมีผลกระทบอย่างมากต่อประสิทธิภาพการรักษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่าง แผ่น PETG ชั้นเดียว และ 3 Layer Sheet จะให้ผลลัพธ์ทางคลินิกที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน บทความนี้จะเปรียบเทียบคุณสมบัติของวัสดุทั้งสองและผลกระทบต่อประสิทธิภาพการรักษา เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจของทันตแพทย์
ข้อจำกัดและปัญหาของแผ่น PETG ชั้นเดียว
หนึ่งในวัสดุที่ใช้กันมากที่สุดในการผลิตเครื่องมือจัดฟันใส คือ แผ่น PETG (Polyethylene Terephthalate Glycol) ชั้นเดียว วัสดุนี้มีความโปร่งใสและขึ้นรูปได้ง่าย จึงได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตาม ในทางคลินิกพบว่ามีข้อเสียดังต่อไปนี้
แรงมากเกินไปและขาดความต่อเนื่อง PETG มีแรงยึดเริ่มต้นสูง แต่หลังจากใส่ไปสักระยะจะเกิดการคลายแรง (Relaxation) มาก ทำให้การรักษาแรงที่คงที่ในระยะยาวทำได้ยากโดยเฉพาะในกรณีการเคลื่อนฟันที่ซับซ้อน เช่น การหมุนฟัน (Rotation) หรือการควบคุมแรงบิด (Torque) มักจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บจากแรงที่มากในช่วงแรก และแรงจะลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้การเคลื่อนฟันไม่มีประสิทธิภาพ
ความไม่สบายและความเจ็บปวดของผู้ป่วย PETG เป็นวัสดุที่ค่อนข้างแข็ง ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยมีอาการเจ็บหรือรู้สึกกดแน่นในช่วงแรกของการใส่เครื่องมือหากผู้ป่วยใส่เครื่องมือได้น้อยลงเพราะเจ็บ ผลการรักษาก็จะลดลงตามไปด้วย
ความเสี่ยงต่อการแตกหรือเสียรูป ด้วยความแข็งของวัสดุ ทำให้แรงกดกระจุกตัวได้ง่าย เกิดรอยร้าวหรือการแตกหักได้บ่อยในผู้ป่วยที่มีแรงบดเคี้ยวสูง อาจเกิดการแตกหรือเสียรูป จนทำให้การแนบพอดีของเครื่องมือแย่ลง
ข้อจำกัดด้านการเคลื่อนฟันต่อถาด เพื่อหลีกเลี่ยงแรงที่มากเกินไป ปริมาณการเคลื่อนฟันต่อแผ่นจึงต้องกำหนดให้น้อยลง ส่งผลให้จำนวนถาดและระยะเวลาการรักษามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

ข้อดีทางคลินิกของแผ่น 3 Layer
แผ่น 3 Layer มีคุณสมบัติในการส่งแรงที่ ต่อเนื่องและมั่นคงชั้นกลางที่มีความยืดหยุ่นช่วยดูดซับแรงและกระจายแรง ทำให้สามารถรักษาแรงที่สม่ำเสมอได้ยาวนาน
ลดความเจ็บปวดและเพิ่มความพึงพอใจของผู้ป่วย
ความนุ่มของวัสดุช่วยให้ใส่สบายมากขึ้น ส่งผลต่อความร่วมมือของผู้ป่วยและความพึงพอใจที่ดีขึ้น
เพิ่มประสิทธิภาพในการหมุนฟัน (Rotation Efficiency)
การฟิตติ้งในช่วงแรกดี ลดการลอยของ Aligner ทำให้สามารถหมุนฟันเขี้ยวและฟันกรามน้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ลดระยะเวลาการรักษา
สามารถกำหนดการเคลื่อนฟันต่อถาดให้มากขึ้น ทำให้จำนวนถาดลดลงและการรักษาเสร็จสิ้นเร็วขึ้น
ดังนั้น การเลือกใช้ แผ่น 3 Layer สำหรับการทำ Aligner นำมาซึ่งข้อดีทางคลินิกที่หลากหลาย ความแตกต่างของแผ่น 3 Layer ตามวิธีการผลิต
แม้ว่าแผ่น 3 Layer จะหมายถึงการรวมวัสดุ 3 ชั้นเข้าไว้ด้วยกันใน 1 แผ่น แต่จริง ๆ แล้ว มี 2 วิธีการผลิต ซึ่งส่งผลให้คุณสมบัติของผลิตภัณฑ์แตกต่างกัน
1. วิธีการ Heat Lamination (การอัดด้วยความร้อน)
หลอมแต่ละชั้นด้วยความร้อนและกดประกบเข้าด้วยกัน
ข้อดี: กระบวนการง่าย ต้นทุนต่ำ
ข้อเสีย: ความหนาที่รอยต่อคงอยู่ (ประมาณ 0.05–0.2 มม.) พื้นที่เชื่อมอาจแข็ง ทำให้รู้สึกไม่สบาย และมีความเสี่ยงในการแยกชั้น (Delamination)
2. วิธีการ Advanced Bonding / Chemical Fusion (การเชื่อมด้วยเทคนิคพิเศษ/ปฏิกิริยาเคมี)
เชื่อมวัสดุแต่ละชั้นในระดับโมเลกุล ด้วยเทคนิคทางเคมีหรือกลไกพิเศษ
ข้อดี:
รอยต่อบางมาก (ประมาณ 0.01 มม. หรือน้อยกว่า)
ความโปร่งใสสูง รอยต่อแทบไม่เห็น
แต่ละชั้นทำงานได้เต็มประสิทธิภาพตามคุณสมบัติเดิม
ใช้งานได้นานโดยไม่เกิดการแยกชั้น
ข้อเสีย: ต้นทุนการผลิตสูงกว่าเล็กน้อย การเปรียบเทียบวัสดุสำหรับเครื่องมือจัดฟันใส: PETG vs 3 Layer

GIKO Aligner ใช้แผ่น 3 Layer หลายประเภทตามระบบการรักษาที่เหมาะสม
แผ่น 3 Layer ที่ผลิตด้วย เทคนิคพิเศษ (Special Manufacturing Process) มีชั้นกลางที่นุ่มมากเป็นพิเศษ ทำให้การหมุนฟันเขี้ยว (Canine Rotation) มีประสิทธิภาพดีกว่าแผ่น 3 Layer ทั่วไป

CHEERFUL LAB ไม่ใช้วัสดุราคาถูก แต่เลือกใช้ แผ่นคุณภาพสูง ให้สอดคล้องกับแต่ละระบบ เพื่อยกระดับคุณภาพของการรักษาด้วย Aligner
นอกจากนี้ การใช้วัสดุคุณภาพสูงยังช่วยสร้าง Aligner ที่สามารถเคลื่อนฟันได้ในระยะที่มากขึ้นต่อถาด ส่งผลให้จำนวนถาดโดยรวมลดลง ลดค่าใช้จ่ายรวมของการรักษา ขณะเดียวกันก็ทำให้ผู้ป่วยเจ็บน้อยลง และยังช่วยให้ระยะเวลาการรักษาสั้นลงได้อีกด้วย
ความคิดเห็น